Skip to main content
Recession fears keep gold going strong as tariff troubles stifle trade

ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอยหนุนให้ราคาทองคำแข็งแกร่งต่อไป ในขณะที่ปัญหาภาษีกำลังกดดันการค้าโลก

พฤ., 04/17/2025 - 13:45

ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ ความไม่แน่นอนได้พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หุ้นที่เคยถูกมองว่าปลอดภัยที่สุดอย่างกลุ่มเทคยักษ์ใหญ่ Magnificent Seven ต่างร่วงลงเฉลี่ยเกือบ 20% นับตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่น้ำมันดิบก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดย Brent ได้ลดลงถึง 15% นับตั้งแต่ต้นปีเช่นกัน แต่มีหนึ่งสินทรัพย์ที่กลับได้รับประโยชน์จากความปั่นป่วนนี้ ซึ่งได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะตลาดทั่วโลกที่กำลังตื่นตระหนก ราคาทองคำพุ่งขึ้นเกือบ 30% นับตั้งแต่เดือนมกราคม และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแค่นี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ราคาทองคำได้ทะลุระดับ $3,300 และปิดการซื้อขายที่ $3,371 ซึ่งสูงกว่าระดับราคาในเดือนเมษายน 2024 มากกว่า 50%

ในขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเดินหน้าเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตรา 145% ส่วนทางจีนก็ไม่ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นกัน ล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้สั่งห้ามสายการบินจีนรับมอบเครื่องบิน Boeing ล็อตใหม่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อการค้าโลก ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากนโยบายดังกล่าว บวกกับความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เป็นข่าวร้ายสำหรับภาคธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน ทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง กลับได้รับอานิสงส์จากภาวะความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อนี้ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจปัจจัยสำคัญ ที่จะส่งผลต่อราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 2025 และหลังจากนั้น

ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับทุกช่วงเวลาที่เกิดความไม่แน่นอนรุนแรง และมีการเปลี่ยนแปลงต่อระเบียบโลก นักวิเคราะห์จำนวนมากได้ออกมาเตือน ถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอย ที่ขึ้นเกิดจากการชะลอตัวของการค้าโลก อันเป็นผลมาจากนโยบายภาษีของทรัมป์ David Solomon ซีอีโอของ Goldman Sachs ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้เพิ่มสูงขึ้น จากความตึงเครียดด้านการค้า และการยกระดับความขัดแย้งอาจกลายเป็น “ความเสี่ยงด้านทรัพยากร” สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก

แม้ว่ารายได้จากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากการเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตราสูงที่เป็นเลขสามหลัก แต่ผลกระทบในระยะยาวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว จีนได้ตอบโต้ด้วยการระงับการรับมอบเครื่องบิน Boeing จำนวน 179 ลำที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ และเริ่มมุ่งเป้าโจมตีไปที่ภาคบริการทางการเงินของสหรัฐฯ อีกหนึ่ง “การยิงเข้าประตูตัวเอง” ของทีมบริหารในรัฐบาลสหรัฐฯ คือการจำกัดการส่งออกชิป H20 ของ Nvidia ไปยังจีนตามกฎที่กำหนดขึ้นใหม่ ซึ่งตอนนี้หุ้นของผู้ผลิตชิป Nvidia ลดลงเกือบ 15% ในกราฟรายเดือน

ในขณะเดียวกัน Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า ภาษีของทรัมป์ได้สร้าง "สถานการณ์ที่ท้าทาย" สำหรับเฟด และอาจทำให้ "อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นชั่วคราวในระยะสั้นเป็นอย่างน้อย" พร้อมเสริมว่า "ผลกระทบด้านเงินเฟ้ออาจยืดเยื้อกว่าที่คิด" โดยธรรมชาติแล้ว ภาษีจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น แต่ผลกระทบนี้อาจกว้างกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก ในตอนนี้ เฟดอาจต้องทบทวนแผนการลดดอกเบี้ยที่เคยให้สัญญาไว้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งแม้จะยังไม่ชัดเจนว่า จะเป็นผลดีต่อทองคำมากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือ จะสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นและผู้บริโภคทั่วไป ท่ามกลางสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอยู่แล้ว

ไม่มีใครยอมถอย

สิ่งที่เริ่มต้นจากกลยุทธ์การบีบให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ยอมเจรจา บัดนี้ได้กลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ ตรงกันข้ามกับแนวทางก่อนช่วงโควิด ที่ทรัมป์พยายามควบคุมเกมด้วยตนเอง ในครั้งนี้ สี จิ้นผิง เลือกที่จะสู้กลับ แทนที่จะยอมถอยและเจรจาตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ เหมือนกับประเทศอื่นๆ หลังจากที่จีนประกาศเก็บภาษีตอบโต้ 125% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีนยังประกาศว่า หากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีอีก ก็ถือเป็น "เรื่องตลก" และทางจีนก็จะ "ไม่ใส่ใจ" อีกต่อไป ประเทศจีนยังหันมาใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การควบคุมการส่งออกแร่หายาก และการตรวจสอบบริษัทอเมริกันในข้อหาผูกขาด ไม่ว่าจะเป็น DuPont บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ หรือ Google บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ปักกิ่งยังได้เพิ่มจำนวนบริษัทสหรัฐฯ ที่อยู่ใน "บัญชีหน่วยงานไม่น่าเชื่อถือ" ซึ่งหมายถึงบริษัทเหล่านี้อาจถูกจำกัด หรือถูกแบนไม่ให้ทำธุรกิจหรือลงทุนในจีน

แม้ถ้อยคำจากฝั่งสหรัฐฯ จะดูแข็งกร้าว ว่าจีนต้องเป็นฝ่ายเริ่มเจรจาก่อน แต่สุดท้ายแล้ว ทรัมป์กลับเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อก่อน ภายใต้แรงกดดันจากวอลสตรีต ในตอนนี้ สหรัฐฯ ได้เริ่มยกเว้นภาษีให้กับคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ซึ่งเป็นหมวดสินค้าส่งออกหลักของจีน แม้จะเป็นก้าวที่ดี แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ ที่ทรัมป์จะจุดชนวนความตึงเครียดให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นอีก และยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ข้อยุติของสงครามการค้านี้ จะเกิดขึ้นเมื่อใด และยังไม่แน่นอนว่า จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่เป็นบวกต่อฝ่ายสหรัฐฯ หรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ทองคำจะยังคงได้รับประโยชน์ ตราบใดที่ภาษีเหล่านี้ยังคงอยู่ และการคาดการณ์ราคาทองคำที่เกินกว่า $4,000 ก็อาจไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากสงครามการค้าทวีความรุนแรง โดยไม่มีข้อตกลงใดๆ เกิดขึ้น

เทรดทองคำและ CFD ตัวอื่นๆ ด้วย Libertex

ด้วย Libertex คุณสามารถเทรด CFD ของสินทรัพย์อ้างอิงได้มากมาย ตั้งแต่หุ้นและดัชนี ไปจนถึงคริปโต ETF และสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากทองคำ (XAU/USD) และ เงิน (XAG/USD) แล้ว Libertex ยังมี CFD ของโลหะมีค่ามากมาย เช่น ทองแดง แพลทินัม และแพลเลเดียม หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีเทรดจริงเป็นของคุณเอง ให้ไปที่ www.libertex.org/signup วันนี้!

สัมผัสกับความน่าตื่นเต้นของการเทรด!

ลงทะเบียนเปิดบัญชีเดโมกับ Libertex และมาเรียนรู้วิธีการเทรด